โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 เมษายน 2558 |
|
|
|
สำหรับใครที่ต้องการไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศอเมริกา อังกฤษ หรือออสเตรเลีย คงมีคำถามเกิดขึ้นว่าต้องสอบวัดระดับภาษาอันไหนดีระหว่างข้อสอบ TOEFL และ IELTS เพราะทั้งสองตัวนี้ถือเป็นข้อสอบสุดหินและปราบเซียนเก่งๆ กันมานักต่อนักแล้ว โดยคะแนนที่ได้จะใช้ยื่นสำหรับการเรียนต่อต่างประเทศ ทางทีมงาน Life on Campus จึงได้นำเทคนิคดีๆ จากเจ้าของกระทู้พันทิพ 'นายโนเนะ' มาให้ได้ศึกษากันถึงความแตกต่างระหว่างข้อสอบสุดโหดทั้งสองตัวนี้ เพื่อจะได้เตรียมตัวและฝึกฝนกันให้พร้อมก่อนลงสนามจริง |
|
ข้อสอบการอ่าน 'IELTS' ยากกว่า 'TOEFL' !? |
สำหรับข้อสอบ TOEFL และ IELTS นั้น เวลาในการทำข้อสอบคือ 60 นาทีเท่ากัน โดยจะแบ่งออกเป็น 3-4 เรื่องหลัก แต่โดยทั่วไปแล้วจะมี 3 เรื่องหลักๆ ซึ่งแต่ละเรื่องจะมี 13-14 ข้อเหมือนกันทั้งข้อสอบ TOEFL และ IELTS ต่อมาเป็นส่วนของเนื้อหาข้อสอบ หลายคนให้ความเห็นว่าข้อสอบTOEFLจะมีเนื้อหาวิชาการและยากกว่าข้อสอบ IELTS ซึ่งเจ้าของบทความให้ความเห็นว่าข้อสอบ TOEFL มี Practical มากกว่าคือมีการนำบทความใน Textbooks หรือเนื้อหาวิชาการ ซึ่งเวลาจะไปเรียนต่อต้องอ่านความรู้จาก Textbooks เหล่านี้มากกว่าจะอ่านบทความจากแหล่งความรู้อื่นๆ เช่น วารสาร วิจัย ดังนั้นการวัดความรู้ของข้อสอบ TOEFL จึงตรงประเด็นและเป็นทักษะที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงและเรื่องการเรียนมากกว่า IELTS นั่นเอง |
|
โดยรวมแล้วข้อสอบ TOEFL จะเน้นไปที่ความรู้ความเข้าใจ และการตีความมากกว่า ดังนั้นหน้าที่หลักที่ต้องทำคือการอ่านบทความและตีความเนื้อหาตรงนั้น และนำมาตอบคำถาม ซึ่งแน่นอนว่าการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย ทักษะการสรุปความเป็นสิ่งสำคัญ และสามารถนำไปใช้จริงได้ การวัดความรู้ของผู้สอบก่อนไปเรียนจึงสำคัญและ TOEFL ก็ทำได้ตรงประเด็น หรือโจทย์ที่ถามความหมายคำศัพท์ก็ใช้ได้จริง |
|
|
|
TOEFL VS IELTS จำแนกความต่างข้อสอบปราบเซียน !? |
ในขณะที่ข้อสอบการอ่านของ IELTS จะยากกว่ามาก สำหรับคนที่เคยสอบจะรู้ว่าถ้าคุณหา key words เจอ คุณก็จะตอบคำถามนั้นได้ ซึ่งในแต่ละข้อคุณก็ต้องวนหาทั้ง paragraph ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อหาประโยค parallel กับโจทย์ ฉะนั้นในเวลาที่จำกัดการหาประโยคเจอนั้นทำได้ยากมาก รวมถึงการอ่านทั้ง paragraph ทำได้และเจอคำตอบแน่นอน แต่ถามว่าในเวลาที่จำกัดขนาดนี้ ใครจะทำได้ถามว่ามันวัดความตีความเหมือน TOEFL ไหม วัดครับ แต่ก็ต้องใช้ทักษะการหา ซึ่งในความเป็นจริงเราเรียนในคลาส อ่านหนังสือสอบ ทักษะการอ่าน และจับใจความสำคัญของเนื้อหาน่าจะสำคัญกว่าทักษะการหาปริศนาอักษรไขว้ ใครตาไวก็จะเจอคำตอบ |
|
Listening Part เน้นฟัง Keywords สรุปประเด็นหลัก ! |
หลายคนมักบอกว่าข้อสอบการฟังของ TOEFL นั้นยากกว่าไอเอล เพราะไม่เห็นข้อสอบก่อนและโจทย์ยาวมากกว่า ซึ่งเจ้าของบทความไม่เห็นด้วยด้วยเหตุผลที่ว่า การสอบ TOEFL คือการฟัง Lecture จากอาจารย์ มีบทสนทนาเรื่องชีวิตประจำวัน จากนั้นจึงมาทำโจทย์ ซึ่งเป็นการสรุปเนื้อหาจากที่เราฟัง มันจึงเน้นไปที่ทักษะการฟังของผู้สอบที่ต้องใช้จริง ดังนั้นการสรุปความที่ได้ฟังจึงเป็นทักษะที่สำคัญกว่า |
|
ในขณะที่ข้อสอบการฟัง IELTS นั้นเน้นให้ฟัง ถ้าสามารถฟังคำนั้นได้ก็ทำข้อสอบได้ มีการตีความบ้างแต่ส่วนใหญ่เน้นฟัง Key words ให้ออก สิ่งสำคัญคือการเห็นโจทย์ก่อน ไม่ได้ช่วยให้ทำข้อสอบได้มากขึ้นเลยครับ ขอย้ำ ในทางตรงกันข้ามโจทย์ที่ให้จะทำให้เราสับสนกับบทสนทนาที่ฟังได้เช่นกัน เพราะเราจะพยายามจดจ่อกับ คำตอบที่มีในโจทย์จนทำให้เสียสมาธิในการฟังไป สุดท้ายทำไม่ได้เพราะโจทย์หลอกให้สับสน |
|
|
|
TOEFL VS IELTS จำแนกความต่างข้อสอบปราบเซียน !? |
**ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยกับการสอบ IELTS เท่าไหร่ เพราะการฟังคำๆ เดียวให้ออกในบทสนทนา ไม่ได้วัดทักษะอะไรเลยนอกจากการฟังซ้ำๆ ในความเป็นจริงคงจะจำได้เวลาติวเตอร์หลายคนสอนเรื่องการฟัง ถ้าคุณฟังคำนั้นไม่ออก หรือฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องไปเปิดดิกหาความหมายคำๆ นั้นเพื่อที่จะฟังให้เข้าใจ การใช้บริบท หรือประโยคข้างเคียง สื่อความหมายคุณก็สามารถฟังรู้เรื่องได้ การฟังให้ได้ทุกคำจึงไม่จำเป็น ซึ่ง IELTS มาวัดตรงนี้** |
|
ในขณะที่ TOEFL ดังที่กล่าวไป เขาให้คุณฟังจริงๆ อย่างเดียว ไม่ต้องเสียสมาธิกับโจทย์แล้วสรุปใจความ หรือประเด็นสำคัญแล้วไปตอบคำถาม ซึ่งแน่นอน ไม่มีใครฟังได้ครบทุกคำ-จำได้ทุกประโยค แต่ถ้าคุณสามารถสรุปประเด็นหลักได้คุณก็ได้คะแนน ซึ่งมันรวบรวมทักษะหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะเอาไปเรียน lecture ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของคนสอบคือเรียนต่อต่างประเทศ ผมจึงคิดว่า TOEFL วัดได้ดีกว่าและใช้ได้จริงในทางปฏิบัติครับ |
|
สรุป ส่วนตัวคิดว่า Reading กับ Listening ของ TOEFL ดีกว่าครับง่ายกว่าด้วย เพราะ Multiple Choice ใช้การตัด choiceได้ ขณะที่โอกาสถูกยัง 25 เปอร์เซนต์ ไอเอลทำไม่ได้ มีโอกาสถูกยากมาก โดยเฉพาะการเติมคำศัพท์ |
|
Speaking Part 'IELTS' ง่ายกว่า 'TOEFL' จริงหรือ ? |
สำหรับตัวข้อสอบในส่วนของการพูดของ TOEFL นั้นจะแบ่งออกเป็น 6 ข้อด้วยกัน สองข้อแรกจะเป็นเรื่องส่วนตัว สองข้อต่อมาเป็นบทสนทนาโดยให้จับใจความและแสดงความคิดเห็น และสองข้อต่อมาเป็นการฟังเลคเชอร์คือให้ฟังและจับประเด็นสำคัญ สิ่งที่ยากที่สุดของ TOEFL คือเรื่องของเวลาเพราะมีเวลาที่จำกัดมาก กล่าวคือจะมีการบรรยายหรือบทสนทนามาให้ฟัง จากนั้นให้เวลาคิดและมีเวลา 1-1.30 นาทีในการบันทึกเสียง นั่นหมายความว่านอกจากจะต้องฟังให้รู้เรื่องแล้ว ยังต้องคิดคำพูดที่กระชับได้ใจความและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์อีกด้วย เพื่อที่จะอัดให้ได้ในเวลา 1 นาที |
|
|
|
TOEFL VS IELTS จำแนกความต่างข้อสอบปราบเซียน !? |
นอกจากนี้จำนวนคำในการสอบ TOEFL จะนับจำนวนคำที่พูดด้วย ซึ่งมีผลต่อคะแนน เช่นหากพูดช้า จำนวนคำที่คิดคะแนนก็น้อยตามไปด้วย และถ้าหากพูดเร็วแล้วกรรมการฟังไม่รู้เรื่อง การพูดเร็วถ้าไม่มั่นใจจริงจะยิ่งทำให้คะแนนที่ได้น้อยกว่าพูดช้านั่นเอง |
|
ต่อมาในส่วนของหัวข้อสอบ TOEFL ซึ่งความยากอยู่ตรงที่เราไม่สามารถคาดการณ์หรือเตรียมตัวอะไรได้เลย ในขณะที่ข้อสอบ IELTS แบ่งออกเป็น 3 พาร์ทด้วยกัน คือเรื่องใกล้ตัว เรื่องทั่วไป และเรื่องต่อยอดจากเรื่องทั่วไป สำหรับความเห็นของเราคือ “IELTS” พูดกับคนซึ่งถ้ากรรมการใจดีเวลาเรานึกอะไรไม่ออก เขาก็จะช่วยพูดนำให้เรามีเรื่องคุยต่อ ถึงแม้ในพาร์ท 2 จะให้เราพูดสดคนเดียว 2 นาทีก็ตาม (แต่ถือเป็นการดีสำหรับคนที่เคยสอบ TOEFL มาก่อน การพูดกับตัวเองจึงไม่ยากนัก) |
|
**การคุยกับคนจริงๆ น่าจะเป็นข้อดีของการสอบ IELTS และ ให้เวลาในการคุย 12-15 นาที ซึ่งกำลังดี ไม่มากหรือ น้อยเกินไป** |
|
สำหรับเนื้อหาการสอบ TOEFL ถือว่าเป็นการรวมเอาทักษะการฟัง การพูด และ การอ่านรวมกัน นั่นหมายความว่า ถ้าเราฟังโจทย์ไม่รู้เรื่อง เราก็จะไม่สามารถตอบคำถามได้ตรงประเด็น และแน่นอนไม่ว่าเราจะพูดดีแค่ไหน หากพูดไม่ตรงประเด็นก็ได้คะแนนน้อย การสอบโทเฟลจึงต้องมีทักษะการฟังที่ดีมากๆ ด้วยโดยที่คำตอบ ต้องกระชับได้ใจความ และตรงประเด็นในเวลา 1 นาที |
|
**ในขณะที่ IELTS คำตอบจะเน้นเป็นการบรรยายมากกว่า เช่น ชอบสิ่งนี้ เพราะอะไร เราก็บรรยายไป, ชอบทำอะไร เพราะอะไร คุณเห็นด้วยกับสิ่งนั้นหรือไม่ มันดูเป็นอะไรที่พอฝึกฝนเตรียมตัวได้** |
|
|
|
TOEFL VS IELTS จำแนกความต่างข้อสอบปราบเซียน !? |
Writing Part มีสองส่วนเหมือนกัน..แต่ความยากต่างกัน! |
ทั่วไปแล้วข้อสอบของ TOEFL และ IELTS แบ่งเป็นสองส่วนเหมือนกัน แต่ความยากต่างกันมาก สำหรับ IELTS ในพาร์ทแรกจะเป็นการบรรยายกราฟ รูป ซึ่งถ้าใครฝึกฝนบ่อยๆ มันจะมี Pattern ของมัน ต้องได้ 150 คำในเวลา 20 นาที ส่วน TOEFL พาร์ทแรกเน้นการอ่านและฟังเลคเชอร์ ต้องทำให้ได้อย่างน้อย 150-220 คำในเวลา 20 นาที โดยจำนวนคำมีผลต่อคะแนนด้วย |
|
สำหรับพารท์สองโจทย์จะคล้ายๆ กันแต่ข้อสอบ TOEFL ให้เวลาเพียง 30 นาทีสำหรับ 300 คำ ในขณะที่ข้อสอบ IELTS ให้เวลา 40 นาที 250 คำ จะเห็นได้ว่าข้อสอบ TOEFL นั้นยากกว่าอย่างเห็นได้ชัด |
|
ส่วนเนื้อหา TOEFL ที่ต้องพิมพ์ 5 paragraph intro body 1, 2, 3 และสรุป โดยจะมีให้เรา agree or disagree และให้เหตุผลประกอบ เช่น ถ้าเรา agree จะต้องมีเหตุผล support ทั้งสามเหตุผลที่ตรงกับเราเขียนไว้ เช่น ถ้า agree ก็ต้องมีเหตุผล ด้าน agree support ทั้ง 3 ข้อ การเขียนเหตุผลด้าน disagree ถ้าเขียนไม่ดีจริงจะทำให้กรรมการมองว่าเนื้อหาเราสับสน |
|
ในขณะที่ IELTS พิมพ์แค่ 4 paragraph คือ intro body 1 & 2 และสรุป โดยจะเปิดกว้างกว่า TOEFL มากคือจะให้แสดงไอเดียทั้งสองอย่างระหว่าง agree และ disagree ซึ่งไม่ต้องคิดเหตุผลถึงสามข้อและยังให้เวลาที่มากกว่าโทเฟล คือให้เขียนแค่ข้อดี-ข้อเสีย และความเห็นเราเท่านั้น |
|
**สิ่งที่ต้องระวังคือการตอบคำถามว่าครบทุกข้อไหม เช่น คุณจะทำอะไร ระหว่าง A & B ให้วิเคราะห์ทั้งข้อดีและข้อเสีย และความเห็นของเรา สรุปต้องตอบคำถามทั้งหมด 5 ข้อ มองในอีกแง่ก็คือไอเอลทำให้เรามีเนื้อหาที่เขียนมากกว่านั่นเอง** |
|
|
|
|
|