IELTS
 

IELTS 

(International English Language Testing System) หรือ การทดสอบภาษาอังกฤษระดับนานาชาติ คือ การวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษสำหรับผู้สนใจทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการไป ศึกษาต่อ หรือรับการฝึกอบรมในต่างประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา สหรัฐอเมริกา และผู้ที่มีความประสงค์จะย้ายถิ่นฐาน ไปยังประเทศออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์
IELTS (International English Language Testing System) หรือการทดสอบภาษาอังกฤษระดับนานาชาติ ได้รับการออกแบบเพื่อใช้ประเมินความสามารถด้านภาษาของผู้สมัครสอบที่ต้องการ เรียน หรือทำงานในสถานที่ที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร โดยการสอบ IELTS ใช้ประเมินความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของผู้สมัคสอบอย่างมีประสิทธิภาพใน 4 ทักษะ ได้แก่ การฟัง การอ่าน การเขียน และ การพูด รวมถึงความรู้ทางด้านไวยากรณและ คำศัพทในการใช้ภาษา

IELTS เป็นตัวสอบที่ร่วมมือกันระหว่าง the University of Cambridge ESOL Examinations (Cambridge ESOL), British Council  และ IDP : IELTS Australia ซึ่งการสอบ IELTS ถือได้ว่าเป็นตัวสอบที่ใช้ประเมินความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ได้มาตรฐาน ระดับนานาชาติสูงสุด ซึ่งครอบคลุมทักษะทางภาษาทั้ง 4 ทักษะไม่ว่าจะเป็น การฟัง การอ่าน การเขียน และการพูด
IELTS ได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัยและบริษัทต่างๆในหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ IELTS ยังเป็นที่ยอมรับของสถาบัน กองตรวจคนเข้าเมือง และ องค์กรของรัฐบาลอีกหลายแห่ง
 
ข้อสอบ IELTS มีทั้งหมด 2 แบบด้วยกัน ได้แก่ แบบ Academic และ General Training ซึ่งข้อสอบทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์ที่ต่างกันไป
ลักษณะข้อสอบ IELTS 
 สามารถแบ่งการทดสอบ ออกเป็นสองช่วง ช่วงเช้าสอบข้อเขียน ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ทดสอบการอ่าน 1 ชั่วโมง เขียน 1 ชั่วโมง และ ฟัง 30 นาที ช่วงบ่าย สอบสัมภาษณ์รายบุคคล ใช้เวลา คนละ ประมาณ 10-15 นาที ซึ่งจะจัดสอบครั้งละ 26 คน
1. ส่วนทดสอบการฟัง (Listening) 
การสอบฟังนั้นใช้เวลา 30 นาที โดยมีคำถามทั้งหมด 40ข้อ และมีด้วยกัน 4 ส่วน สองส่วนแรกนั้นจะเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันจะเป็นการสนทนาระหว่างคนสองคน หลังจากนั้นก็จะเป็นคนพูดเพียงคนเดียว ตัวอย่างเช่น สนทนาเรื่องการวางแผนไปเที่ยว หรือ ตัดสินใจว่าจะไปไหนดีคืนนี้ และมี การพูดเกี่ยวกับการให้บริการแก่นักเรียนในมหาวิทยาลัย สองส่วนหลังจะฟังเกี่ยวกับสถานการณ์จำลอง โดยจะมีเนื้อหาหนักไปทางการศึกษาโดยจะมีบทสนทนากันระหว่างกลุ่มคนไม่เกินสี่คน หลังจากนั้นก็จะเป็น การฟังคนพูดเพียงคนเดียว ตัวอย่างหัวข้อที่จะพูด อาจเป็นการสนทนาระหว่างอาจารย์และนักเรียนเกี่ยวกับการบ้าน 
หรือ อาจจะเป็นการคุยกันในกลุ่มนักเรียน สองสามคน ปรึกษากันเรื่องหัวข้อทำวิจัย 
และ เลคเชอร์ หรือ การพูดแนววิชาการ
ในการสอบไม่มีผู้สอบคนใดได้เปรียบเสียเปรียบ ทั้งนี้เพราะว่า หัวข้อที่นำมาใช้ในการสอบนั้นจะเป็นหัวข้อทั่วไป ไม่เน้นไปในวิชาใดวิชาหนึ่ง ความยากจะค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยในแต่ละส่วน สำเนียงภาษาอังกฤษที่ใช้ในการ สอบนั้นจะมีหลากหลายด้วยกัน รวมทั้งสำเนียงท้องถิ่น
    ลักษณะคำถาม คำถามจะมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังต่อไปนี้
    •ปรนัย
    •ตอบคำถามสั้นๆ
    เติมคำในประโยค
    •ให้โน๊ต ย่อ หรือ วาดไดอะแกรม flow chart หรือ เติมคำในตารางให้สมบูรณ์
    •ให้เขียนในไดอะแกรม ว่า แต่ละส่วนที่มีเลขเขียนไว้ หมายถึงอะไร
    •จับคู่
    •เรียงลำดับ
การสอบฟังนั้น จะ มีการเปิดให้ฟังเพียงรอบเดียวเท่านั้น ขณะที่ฟังผู้เข้าสอบต้องอ่านคำถามและเติมคำตอบในกระดาษคำถามไปพร้อมๆกัน เมื่อฟังเทปเสร็จเรียบร้อย จะมีเวลาให้ นำย้ายคำตอบจากในกระดาษมาเขียนลงในกระดาษคำตอบ
 
2. ส่วนทดสอบการอ่าน (Reading)
    2.1 การอ่าน สำหรับ Academic Reading
มีคำถามทั้งสิ้น 40 คำถาม ให้ทำในเวลา 60 นาที โดยจะมีเรื่องสั้นๆ ให้อ่านสามเรื่องด้วยกัน ความยาวโดยรวมประมาณสองพันถึงสองพันเจ็ดร้อยห้าสิบคำ เนื้อหานั้นจะมาจาก นิตยสารวารสาร หนังสือ และ หนังสือพิมพ์ และมีเนื้อหาเหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป ในจำนวนนี้ จะมีอย่างน้อยหนึ่งเรื่องที่เกี่ยวกับ การแสดงความเห็น และอาจจะมีไดอะแกรม กราฟ หรือ ภาพประกอบเรื่องนั้นๆ ถ้าหากเรื่องไหนมีศัพท์เทคนิคปะปนอยู่ก็จะมีคำอธิบายไว้ให้ข้อสอบจะเพิ่มความยากขึ้นเรื่อยๆ คำถามบางคำถามอาจจะถามก่อนอ่านเนื้อเรื่อง บางคำถามก็ถามหลังเนื้อเรื่อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของคำถามนั้นๆ
ลักษณะคำถาม คำถามจะมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังต่อไปนี้
    •ปรนัย
    •ตอบคำถามสั้นๆ
    •เติมคำในประโยค
    •ให้โน๊ต ย่อ หรือ วาดไดอะแกรม flow chart หรือ เติมคำในตารางให้สมบูรณ์
    •ให้เขียนในไดอะแกรม ว่า แต่ละส่วนที่มีเลขเขียนไว้ หมายถึงอะไร
    •จับคู่
    •เรียงลำดับ
    •ลักษณะคำถามที่มีคำตอบ ไว้จำนวนมาก ให้เลือก คำตอบที่ให้ไว้ มาเติมในช่องที่เหมาะสม
    •ให้หาว่าผู้เขียนต้องการจะสื่ออะไรให้ผู้อ่าน โดย ตอบ yes / no /not given
    •ให้หาว่าเนื้อเรื่องได้กล่าวเรื่องในคำถามไว้หรือไม่ โดยให้ตอบ yes/ no/ not given/ true /false/ not given
คำถามข้อละ หนึ่งคะแนน และ ผู้สอบควรตรวจสอบให้รอบคอบในการเขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบว่าสะกดได้ถูกหรือไม่ และ ถูกหลักไวยากรณ์หรือไม่ เพราะหากไม่ถูกจะมีการหักคะแนน 
    2.2 การอ่าน สำหรับ General Training 
เนื้อหาในการอ่านนั้นจะนำมาจากประกาศ โฆษณา หนังสือราชการ คู่มือ แผ่นพับ หนังสือพิมพ์ ตารางเวลา หนังสือ หรือ นิตยสาร โดย ส่วนแรกนั้นจะเป็นเรื่อง สังคม ทั่วไป ภาษาที่เข้าใจง่ายแล้วจะค่อยเพิ่มความยาก ในส่วนของเนื้อหาและการใช้ภาษา ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเริ่มขึ้นส่วนที่สอง สาม สี่
 
3. ส่วนทดสอบการเขียน (Writing) 
    3.1 การเขียน สำหรับ Academic
มีเวลาในการเขียนหกสิบนาที และมีสองหัวข้อที่ต้องทำ ควรใช้เวลาในส่วนแรกประมาณยี่สิบนาที และเขียนอย่างน้อยร้อยห้าสิบคำ ส่วนที่สองนั้นควรใช้เวลาประมาณสี่สิบนาที และเขียนอย่างน้อยสองร้อยห้าสิบคำ
ในส่วนแรกนั้น ผู้เข้าสอบจะต้องเขียนอธิบาย เกี่ยวกับ ไดอะแกรม หรือ ตาราง ที่มีไว้ให้การทดสอบส่วนนี้เพื่อที่จะวัดความสามารถในการจัดข้อมูล และการเปรียบเทียบข้อมูลและความสามารถในการอธิบายขั้นตอนต่างๆ รวมถึงการจัดลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง และอธิบายการทำงานของสิ่งต่างๆ
ในส่วนที่สองนั้น จะเป็นการแสดงความคิดเห็น ในประเด็นต่างๆที่กำหนดให้ ทั้งนี้เพื่อวัดความสามารถ ในการแก้ปัญหา และสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างสมเหตุสมผล สามารถเปรียบเทียบและชี้ข้อแตกต่างของเหตุการณ์ ความเห็น หัวข้อที่นำมาให้เขียนนั้นง่ายต่อการเข้าใจ ทั้งสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี หรือ กำลังจะเรียนต่อในระดับสูงกว่า
    3.2 การเขียน สำหรับ General Training 
การเขียนสำหรับ General Training จะมีแตกต่างก็คือ ในส่วนแรกจะได้ คำถามที่มีลักษณะเป็นจดหมายที่เขียนขอข้อมูล หรือ อธิบายสถานการณ์ และให้เราเขียนตอบ ทั้งนี้เพื่อวัดความสามารถในการสื่อสารโต้ตอบระหว่างบุคคลและ แสดงความรู้สึกว่า ชอบหรือไม่ชอบ ความต้องการ และแสดงความคิดเห็นได้
ในส่วนที่สองนั้นผู้สอบต้องแสดงทัศนะ หรือ ไม่ก็ให้ อภิปรายโต้แย้ง หรือ แสดงปัญหา ในหัวข้อที่ให้ไว้ ทั้งนี้เพื่อวัดความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล การวางโครงร่างของปัญหาและเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหา เสนอและชั่งน้ำหนักของความคิดเห็น บทความ หรือ ทฤษฎีต่างๆ ว่าน่าเชื่อถือมากน้อยขนาดไหน
    การให้คะแนนส่วนที่หนึ่งนั้นจะให้จาก
         •Task Fulfilment                      •Coherence
         •Cohesion                               •Vocabulary
         •Sentence Structure
     การให้คะแนนส่วนที่สองนั้นจะให้จาก
         •Arguments                             •Ideas
         •Evidence                                •Communicative Quality
         •Vocabulary                             •Sentence Structure
*หากเขียนได้ต่ำกว่าจำนวนน้อยที่สุดที่กำหนดไว้ จะถูกหักคะแนน
  
4. ส่วนทดสอบการพูด (Speaking)
การสอบพูด นั้นจะใช้เวลา ตั้งแต่ สิบเอ็ดถึงสิบสี่นาที จะเป็นการสัมภาษณ์ระหว่าง ผู้เข้าสอบและเจ้าหน้าที่ เป็นการทดสอบความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร การสอบสัมภาษณ์นั้นจะแบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน
     ส่วนที่หนึ่ง ผู้เข้าสอบจะตอบคำถามทั่วไปเกี่ยวกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง บ้าน ครอบครัว การงาน การเรียน ความสนใจ ซึ่งจะเป็นเรื่องใกล้ตัวเรา ซึ่งจะใช้เวลาประมาณสี่ถึงห้านาที
     ส่วนที่สอง ผู้เข้าสอบจะต้องพูดตามหัวข้อที่ได้รับในการ์ด โดยจะมีเวลาเตรียมตัว หนึ่งนาที และพูดประมาณสองนาที จากนั้นเจ้าหน้าที่จะถามคำถามหนึ่งหรือสองคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่เราพูด
     ส่วนที่สาม จะเป็นการถกปัญหากันระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้เข้าสอบ หัวข้อนั้นก็จะเกี่ยวๆ กับที่ได้รับในส่วนที่สอง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณสี่ถึงห้านาทีการสัมภาษณ์จะมีการบันทึกไว้ด้วยเทปบันทึกเสียง
  
ผลสอบ IELTS
ผลสอบจะออกมาหลังการสอบประมาณ 5 วัน และสามารถเก็บผลสอบไว้ได้ 2 ปี ในใบรายงานผล โดยผลสอบจะระบุคะแนนความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะโดยแบ่งคะแนนออกเป็น 9 ระดับจากสูงไปต่ำ ดังต่อไปนี้
  
9 (มีความสามารถในการใช้ภาษาดีเลิศ)
สามารถใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว เหมาะสม ถูกต้องแม่นยำ และมีเข้าใจในภาษาดีเยี่ยม                                                                                                            
8 (มีความสามารถในการใช้ภาษาดีมาก)
สามารถใช้ภาษาได้ถูกต้องและคล่องแคล่ว แต่อาจมีข้อผิดพลาดและความไม่เหมาะสมบ้างบางครั้งคราวในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย สามารถถกปัญหาที่ซับซ้อนอย่างมีเหตุผลได้ดี
7 (มีความสามารถในการใช้ภาษาดี)
สามารถใช้ภาษาได้ดีแต่ยังมีความผิดพลาดและเข้าใจผิดในบางโอกาส แต่โดยทั่วไปสามารถใช้ภาษาในลักษณะที่ซับซ้อนได้ดีและเข้าใจในการให้เหตุผลได้ดี
6 (มีความสามารถในระดับใช้งานได้)
มีความสามรถในการใช้ภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะมีข้อผิดพลาดและความไม่เหมาะสมในการใช้ภาษาบ้าง แต่ก็สามรถสื่อสารและเข้าใจภาษาที่ซับซ้อนได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่คุ้นเคย
5 (สามารถใช้ภาษาในระดับปานกลาง)
มีความสามารถในการใช้ภาษาได้บางส่วนและเข้าใจความหมายกว้างในสถานการณ์ส่วนใหญ่ แต่ยังมีข้อผิดพลาดบ่อยๆแต่ก็สามารถสื่อสารในระดับพื้นฐานในเรื่องที่ตนถนัดได้ดี
4 (มีความสามารถในการสื่อสารจำกัด)
มีความสามารถในการสื่อสารจำกัดเฉพาะเรื่องที่ตนเองคุ้นเคย มีปัญหาในการสื่อสาร การเข้าใจและการแสดงออกทางความคิด และไม่สามารถใช้ภาษาที่ซับซ้อนได้
3 (มีความสามารถในการใช้ภาษาที่จำกัดมาก)
รู้และเข้าใจความหมายกว้างๆในสถานการณ์ที่คุ้นเคยและมีการหยุดชะงักในการสื่อสารบ่อย
2 (ไม่สามารถสื่อสารคำศัพท์ขั้นพื้นฐานได้)
ไม่สามารถสื่อสารเป็นเรื่องราวได้ พูดได้เป็นคำๆเฉพาะคำคัพท์สั้นๆที่คุ้นเคยเท่านั้น มีปัญหาในการทำความเข้าใจภาษาพูดและภาษาเขียน
1 (ใช้ภาษาไม่ได้เลย)
ไม่สามารถใช้ภาษาได้นอกจากคำศัพท์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
 
วิธีการสมัครสอบ IELTS
1. ศูนย์สอบ IELTSในประเทศไทย
1.1 IDP Education Australia
*ศูนย์สอบ IELTS ของ IDP Education ตามจังหวัดต่างๆ
1.2 British Council
*ศูนย์สอบ IELTS ของ British Council ตามจังหวัดต่างๆ
  
2. การสมัครสอบ
สมัครได้โดยตรงได้ที่ศูนย์สอบ
IELTS ทุกแห่ง และควรสมัครสอบล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน
  
3. ค่าสมัครสอบ IELTS

5,900 บาท (ศูนย์สอบบางแห่ง ราคาอาจอยู่ที่ 6,500 บาท)
  

4. หลักฐานการสมัครสอบ

 1. ใบสมัครสอบ (กรอกด้วยอักษรตัวพิมพ์ใหญ่)

 2. หนังสือเดินทางหรือบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง พร้อมสำเนา ที่ยังไม่หมดอายุจนกระทั่งวันสอบ หมายเหตุ: สำหรับผู้สมัครที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี สามารถใช้สำเนาบัตรประจำตัวนักเรียนแทนสำเนาเอกสารข้างต้นได้

 3. รูปถ่ายหน้าตรง 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ ไม่สวมแว่นตา

 4. สำเนาผลสอบเก่า (สำหรับผู้ที่เคยสอบแล้ว)
  
 5. สิ่งที่ต้องนำมาในวันสอบ
 ดินสอ 2B
ยางลบ
- ปากกา
- บัตรประชาชนตัวจริง หรือ หนังสือเดินทางฉบับจริง (ฉบับเดียวกับที่ใช้เป็นเอกสารในการสมัครสอบ)
ใบเสร็จรับเงินค่าสมัครสอบ IELTS
 

6. การประกาศผลสอบ

 6.1 IDP Education Australia
ผลสอบจะออกภายใน 1 สัปดาห์หลังสอบ ซึ่งสามารถมารับใบรายงานผลสอบได้ด้วยตนเองที่สำนักงาน IDP หรือจะแจ้งให้ส่งผลให้ทางไปรษณีย์ ตามกฎระเบียบแล้ว ใบรายงานผลสอบมีผลใช้ได้เป็นเวลา 2 ปี ไม่สามารถแจ้งผลสอบทางโทรศัพท์ได้ไม่ว่ากรณีใดๆ

 6.2 British Council
ผู้สอบสามารถรับผลการสอบได้ที่ British Council วันพฤหัส (หรือ 5 วันทำงานหลังการสอบ) ตั้งแต่เวลา 13.00 - 19.00 น. ทาง British Council จะเริ่มจัดการส่งผลสอบที่เหลือให้ผู้สอบทางไปรษณีย์ (โปรดเผื่อเวลา จัดส่งทาง ไปรษณีย์ในกรุงเทพฯ ประมาณ 3 วัน) หากท่านไม่มารับผลสอบภายในวันอาทิตย์ ทาง British Council จะไม่ทำการแจ้งผลการสอบทางโทรศัพท์ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม
  
7. การสอบครั้งต่อไป

IELTS ครั้งต่อไปต้องเว้นระยะการสอบ 90 วัน
  
8. อายุผลสอบ IELTS

IELTS สามารถใช้ได้เป็นระยะเวลา 2 ปี

 
 

 
 
 
 
 
Copyright © 2017 Fast English.
All Rights Reserved.
@