กุญแจไขสู่พลังพุทธะโดยหลวงปู่ดุลย์ อตุโล
บทความนี้เสนอหลักธรรมคำสอนจากหนังสือเรื่องหลวงปู่ฝากไว้ของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล พระอริยะสงฆ์ผู้เปี่ยมไปด้วยปัญญาและความเมตตา มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) “จิตคิด จิตเกิด จิตไม่คิด จิตไม่เกิด
จิตคิด จิตถูกทำลาย จิตไม่คิด จิตไม่ถูกทำลาย
จิตปรุงแต่ง จิตถูกทำลาย จิตไม่ปรุงแต่ง จิตไม่ถูกทำลาย
จิตแสวงหา จิตถูกทำลาย จิตไม่แสวงหา จิตไม่ถูกทำลาย
จิตปรารถนา จิตถูกทำลาย จิตไม่มีความกำหนัด จิตไม่ถูกทำลาย” |
โคลงกลอนนี้หมายถึงวินาทีที่เริ่มคิดปรุงแต่ง ความผ่องใสและสติสัมปชัญญะจะถูกทำลาย ความรู้เนื้อรู้ตัวจะหายไป ฉะนั้น เมื่อใดที่มีการกระทบให้ทำความสงบรับรู้ ไม่คิดเพิ่มเติม จิตปรุงแต่งจึงจะไม่ทำงาน การคิดปรุงแต่งคือ การตัดสินถูกผิด ดีไม่ดี ชอบไม่ชอบ หรือการมีนิวรณ์ 5 ครอบงำจิตใจเช่น ความอยากมีอยากเป็นอยากได้ ความไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากได้ ความโกรธเกลียดอาฆาตแค้น เป็นต้น เวลาที่จิตตกอยู่ในวังวนของความคิดเวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่เราไม่รู้ตัว อาการที่แสดงชัดว่าจิตถูกทำลายคือ จิตที่มีความทุกข์ ขาดความสงบ กระวนกระวาย วิตกกังวล เบื่อหน่าย มีความรุ่มร้อนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มีความลังเลสงสัยตัดสินใจไม่ได้ เป็นต้น
2) “ทิ้งหมด รู้หมด ทิ้งหมด ได้หมด
ไม่ทิ้งเลย ไม่รู้เลย ไม่ทิ้งเลย ไม่ได้เลย” |
ถ้าจะปฏิบัติทางจิตอย่างจริงจังจะต้องทิ้งความคิดเรื่องทางโลกไปสักระยะหนึ่ง อาจต้องมีการปลีกวิเวกเพื่อหยุดคิดและจดจ่อเกี่ยวกับอิริยาบถทางกาย ลมหายใจ สภาวะทางอารมณ์ สภาวะจิตในปัจจุบัน และพิจารณาตามธรรมะของพระพุทธเจ้า
3) “ทรงจิตเข้ามรรคจิต แล้วจิตพิจารณาจิต
รู้ธรรมในจิต แล้วถนอมมรรคจิต
จงทำให้ชำนิชำนาญ
จิตอบรมจิต รู้ธรรมภายในจิต แล้วอบรมธรรมในธรรมภายในจิต” |
เมื่อพยายามรับรู้และไม่ปรุงแต่งแล้ว จากนั้นให้ส่องในหรือมองดูจิต มองดูความคิด มองดูอารมณ์ให้รู้เท่าทันเมื่อมีการกระทบคือ เมื่อมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส และครุ่นคิด เมื่อส่องในเราจะเห็นธรรมะคือ กฏไตรลักษณ์คือ (1) ความเป็นอนิจจังคือ การเกิดดับของความคิดและอารมณ์ (2) ความเป็นอนัตตาคือความว่างเปล่าความเป็นธรรมชาติที่ไม่สามารถบังคับได้ หากเราไปยึดมั่นถือมั่น อยากบังคับให้เป็นไปตามที่เราต้องการ มีความสำคัญมั่นหมาย ปรุงแต่งมากมายเกินความเป็นจริง เราจะมี (3) ความทุกข์ใจ อึดอัดทุกข์ทรมาน และเราจะสัมผัสได้ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นแท้จริงมาจากการที่เราไปยึดมั่นถือมั่นและปรุงแต่งไปเอง เมื่อเห็นความเป็นจริงนี้บ่อยครั้งจนชำนิชำนาญ จิตจึงจะเริ่มคลายความยึดมั่นถือมั่นลง
4) “ผู้รู้ไม่คิด ผู้คิดไม่รู้ รู้แล้วไม่ต้องคิดก็เกิดปัญญา” |
ในการมองดูจิตมองดูความคิดและมองดูอารมณ์นั้นให้ “มองอย่างเดียว” โดยไม่สำคัญมั่นหมาย ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ปรุงแต่งว่าดีหรือเลว และให้มองตามกฏไตรลักษณ์คือมองให้เห็นการเกิดดับ การบังคับไม่ได้ และถ้าฝืนจะเกิดความทุกข์ การพิจารณาหลักไตรลักษณ์นั้นจะต้องเกิดจากความเข้าใจจากการได้เห็นสภาวะนั้นอย่างแท้จริงมันจะเป็นความรู้สึกไม่ใช่ความคิด ไม่ใช่การนำคำอนิจจัง ทุกขัง อนัตตามาท่องเพราะถือว่าเป็นการคิดขึ้นมาเอง ฉะนั้น ในการปฏิบัติหากยังมีความลังเลสงสัยซึ่งถือว่าเป็นความคิดชนิดหนึ่งก็ยังไม่ใช่การมีปัญญาอย่างแท้จริง
5) “เอาธรรมมาอบรมธรรม ให้รู้ธรรมในธรรม
เอาธรรมชาติมาปฏิบัติธรรมชาติ ให้รู้ธรรมชาติในธรรมชาติ” |
การอบรมธรรมในที่นี้คือ การนำธรรมะของพระพุทธเจ้าเช่น นิวรณ์ 5 ไตรลักษณ์ โลกธรรม 8 มาพิจารณาตามสภาวะความคิดและอารมณ์ที่เรากำลังประสบอยู่ และมองธรรมชาติความเป็นจริงที่กำลังปรากฎโดยไม่คิดเพิ่มเติมและไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆ ให้มองสิ่งที่เกิดขึ้นว่าล้วนเกิดจากเหตุและปัจจัย มันล้วนเกิดจากสิ่งที่ผ่านมาแล้วในอดีตมาประกอบๆกัน หากเราคิดจะเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วมันย่อมเป็นไปไม่ได้ และถ้าเรายังจะฝืนกฏธรรมชาตินี้เราก็จะเป็นทุกข์ แต่ถ้าเราอยากจะพัฒนาให้มันดีขึ้นเราก็ต้องยอมรับความเป็นจริงในปัจจุบันก่อน เมื่อจิตสบายและปล่อยวางปัญญาจึงจะเกิด เราจึงจะรู้ว่าควรจะสร้างเหตุและปัจจัยใหม่ใดเพื่อทำให้ผลที่เราปรารถนาบังเกิดขึ้นในอนาคต
6) “เอาธาตุมาปฏิบัติธาตุ ให้รู้ธาตุในธาตุ
เอาธรรมอบรมในธรรม เอาจิตอบรมจิต ให้รู้ธรรมภายในจิต” |
เอาธาตุมาปฏิบัติธาตุในที่นี้คือ การเอาธาตุรู้มาส่องดูกายส่องดูใจ จนมองเห็นการเกิดดับของความคิดและอารมณ์ และตระหนักรู้ว่าจิตที่ยึดมั่นถือมั่นย่อมนำความทุกข์มาให้
7) “รู้แล้ว ละ วาง ปล่อย ทิ้ง และไม่อาลัย และไม่ยึดมั่นธรรมต่าง ๆ
ธรรมที่เกิดขึ้นภายในจิต ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว
บาปบุญเปรียบเหมือนมายา เกิดขึ้นแล้วดับ ปล่อยทิ้งทั้งสอง
มีแต่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” |
ถ้าเราไม่หยุดคิดปรุงแต่งเราจะไม่สามารถมองเห็นการเกิดดับ เหตุปัจจัยของสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น และสภาวะธรรมะตามคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างไรก็ตาม ธรรมะใดก็ตามซึ่งเรานำมาพิจารณานั้นก็ต้องถูกปล่อยวางเช่นเดียวกันเพราะมันก็เป็นสิ่งที่โลกสมมติขึ้นมา ฉะนั้น เมื่อจิตใจเราเกิดการกระทบทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม ให้รับรู้และไม่คิดต่อ หลังจากนั้นให้เราส่องเข้าไปในจิต จิตคิดอะไรบ้าง สภาวะอารมณ์เป็นอย่างไรสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ มีความรู้สึกอย่างไร สภาวะโดยรวมของจิตเป็นอย่างไรตั้งมั่นหรือง่อนแง่น เมื่อมีการกระทบจิตมีอาการรับรู้หรือจิตถูกความคิดลากไปจนมีอารมณ์เกิดขึ้นมากมาย จิตมีความโลภความโกรธหรือความหลงครอบงำอยู่หรือไม่ โดยเวลามองนั้นให้พิจารณาตามกฏไตรลักษณ์ไปด้วย
8) “สิ้นแห่งความรู้ หุบปากเงียบ อิ่มในธรรม
ธรรมเติมธรรม ไม่มีธรรมนั้นคือธรรม” |
เมื่อรู้แล้วก็สิ้นความสงสัย เมื่อตัวรู้ทำงานเต็มที่เราก็ไม่ต้องยึดหลักธรรมะอีกต่อไป จะคงเหลือแต่ความเข้าใจและความเมตตา เราจะรู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้เวลา รู้สถานที่ และรู้บุคคล จิตใจจะผ่องใส โปร่งโล่งเบาสบาย มีความว่องไวเข้มแข็ง มีความรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอด มีความเจริญก้าวหน้าและมีความสุขเพราะจิตใจเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณามีความเข้าใจในสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก ชีวิตจะประสบแต่ความสุขและสวัสดิมงคล